เรื่อง กากี่นั้ง (๑)

โดย ศิวาพร

แสงแดดยามเย็นของปลายเดือนเมษายนยังคงแผ่ไอร้อนลามเลียผิวจนผะผ่าว เมื่อฉันเดินตัดลานคอนกรีตบริเวณหน้าอาคารผู้ป่วยนอกมุ่งตรงสู่เรือนไทยย่อส่วนขนาดเล็กใต้ร่มโพธิ์อันมีผ้าบางหลากสีผูกประดับรอบโคน

ต้นที่ตั้งเด่นอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีภายในโรงพยาบาล ภายในเรือนเล็กๆนั้นประดิษฐานไว้ด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิสีทอง พระพักตร์อิ่มเอิบงดงามองค์หนึ่ง และถัดไปไม่ไกลนักก็มีศาลพระภูมิหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้วย


กลิ่นธูปหอมอบอวลผสมปนเปกับกลิ่นของดอกมะลิและดอกจำปีจากพวงมาลัยบนพานใบใหญ่หน้าเรือนไทยทำให้บรรยากาศดูสงบขรึมขลัง มีคนสองสามคนนั่งพนมมือไหว้พระอยู่ก่อนอย่างเงียบๆ ฉันหาพื้นที่ว่างใกล้กระถาง

ธูปทรุดกายนั่งลงคุกเข่าราบ วางธูปสามดอกและพวงมาลัยดอกมะลิไว้ข้างกาย จากนั้นจ่อไส้เทียนเล่มเล็กที่ถือมาเข้ากับไฟในตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ตั้งอยู่บนแท่นหินอ่อนตรงหน้า หยดน้ำตาเทียนลงบนรางเหล็กรูปเรือ

หงส์แล้วปักเทียนลงไป เปลวไฟไหววาบเพราะแรงลม ฉันใช้มือข้างหนึ่งป้องเอาไว้ มืออีกข้างหยิบธูปมาจ่อจุดจนไฟติด ถือพวงมาลัยและธูปไว้ในกระพุ่มฝ่ามือทั้งสองข้าง เริ่มต้นสวดมนต์แล้วค่อยอธิษฐานในใจ


“บุญใดที่ลูกทำไว้ ประกอบกับบุญที่ปู่ได้เคยทำมา ขอให้บุญนั้นหนุนนำให้ปู่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่าที่จะนานได้ เพื่อปู่จะได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลให้มากที่สุดก่อนจากโลกนี้ไปด้วยเถิด”


ฉันจรดอุ้งมือขึ้นชิดหน้าผาก ปักธูปลงในกระถางแล้ววางพวงมาลัยลงบนพานก่อนจะก้มลงกราบอย่างนุ่มนวลด้วยศรัทธาเปี่ยมล้น รู้สึกถึงสายลมแผ่วพัดผ่านไล้ผิวกาย ดั่งรับรู้ในคำอธิษฐาน

-------------------------------------------

“ปู่จ๋า ไหว้พระหน่อยนะ ที่ด้านหน้าโรงพยาบาลมีซุ้มพระอยู่ เดี๋ยวหนูจะเอาดอกไม้ไปบูชาพระให้”


ฉันจับมือใหญ่เหี่ยวย่นที่วางราบอยู่บนผ้าปูที่นอนลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนของโรงพยาบาลขึ้นมารับพวงมาลัยดอกมะลิพร้อมธูปเทียน ปู่พยักหน้าอย่างอ่อนล้า สองมือพนมประคองดอกไม้ธูปเทียนไว้เหนือหน้าอกทั้งที่อยู่ในท่า

นอน ใบหน้าซูบ แก้มตอบลึกผ่ายผอมจนเห็นรูปรอยกระดูกชัดเจน ปู่หลับตาสวดมนต์นานเป็นครู่ใหญ่จึงขยับมือส่งดอกไม้ธูปเทียนคืนให้


“เดี๋ยวพี่ไปไหว้พระก่อน อาจจะมาช้าหน่อย ถ้าสามหิวก็กินข้าวผัดที่พี่ซื้อมาได้เลยนะ”


ฉันหันไปบอกเจ้าสาม น้องชายที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรียังไม่มีงานทำ ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าดูแลปู่ทั้งกลางวันและกลางคืน โชคดีที่ปู่ได้พักห้องพิเศษของโรงพยาบาล ฉันจึงหอบเสื้อผ้ามานอนค้างเฝ้าไข้ด้วยอีกคน พอเช้าขึ้นก็

ขับรถออกไปทำงานตามปกติ ครั้นพอถึงวันเสาร์อาทิตย์ ก็จะมีน้องๆ ลูกของลุงมาอยู่ผลัดเปลี่ยนให้ฉันกับเจ้าสามกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ส่วนพ่อและลุงของฉันต่างอายุมากเกินกว่าที่จะมาอยู่อดหลับอดนอนได้ พวกเรา

หลานๆ จึงได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณบุพการีกันถ้วนหน้า


การไหว้พระ เป็นกิจวัตรที่ฉันทำเป็นประจำ นับตั้งแต่วันที่ปู่เข้าโรงพยาบาล และแพทย์ผู้ให้การรักษาแจ้งว่า


“ญาติต้องทำใจนะครับ คุณปู่ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร อาจจะสัปดาห์หนึ่ง สองสัปดาห์ สามสัปดาห์ หรือว่าเดือนหนึ่ง”


แพทย์จบประโยคเพียงเท่านี้ ฉันก็รู้แล้วว่า เวลาของปู่ในโลกเหลือน้อยเต็มที อย่างเร็วคือสัปดาห์หนึ่ง หรืออย่างช้าก็เดือนหนึ่ง ฉันจึงพยายามทำทุกอย่างที่จะให้ปู่ได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด


ปู่บอกกับฉันในวันแรกที่เข้ามาพักในโรงพยาบาลว่า


“เจ็บคราวนี้มันรุนแรงนัก เห็นท่าจะไม่รอดเป็นแน่แท้”


“ทำไมปู่คิดว่าจะไม่รอดล่ะจ๊ะ” ฉันถาม


“มันปวดข้างในท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็กินอะไรไม่ได้อย่างนี้ มันจะรอดรึ”


“ไม่รอดเก๊าะไม่รอดซิปู่ ปู่กลัวตายเหรอ” ฉันทำเสียงเย้าทีเล่นทีจริงอย่างสนิทสนมเพราะความที่ฉันเป็นหลานที่ปู่เลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะจนเติบโตทำงานมาได้เป็นสิบปี ก็ยังอยู่บ้านเดียวกับปู่จนถึงบัดนี้


“ไอ้ความตายน่ะ ไม่กลัวหรอก มันเป็นธรรมดาของโลก ใครๆก็ตายกันทั้งนั้นแหละ ปู่อยู่มาจนอายุถึงปูนนี้ก็ถือว่ามากแล้ว”


“อ้าว ไม่กลัวตายแล้วบ่นทำไม ว่าจะรอดหรือไม่รอด” ฉันแกล้งยั่ว


ปู่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะบอกอย่างจริงจังว่า


“ตายน่ะไม่กลัว แต่มันห่วงคนข้างหลังน่ะซิ”


คนข้างหลังที่ปู่พูดถึง ก็คือย่าของฉัน ซึ่งเจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนแก่ และรอวันที่ปู่จะกลับไปหาที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ คู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมากว่าหกสิบปีมีหรือจะไม่ห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน


ฉันกลั้นลมหายใจกลืนก้อนแข็งๆที่วิ่งมาจุกที่คอ กะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำที่เอ่อท้นขึ้นมา ดีว่าปู่มองไม่เห็นสีหน้าและแววตาของฉันได้เนื่องจากตาบอดจากโรคต้อหินมาหลายสิบปีแล้ว


“น่า ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้ปู่ห่วงตัวเองก่อนเถอะ พยายามกินข้าวเยอะๆ สวดมนต์บ่อยๆ ที่สำคัญนะ คอยเฝ้าดูลมหายใจเข้าไว้ ถ้ามันยังหายใจเข้าๆ ออกๆ ได้อยู่ละก็ หนูรับรองว่าปู่รอดแน่ๆ ”


“เออ จริงของมัน”


ปู่หัวเราะเบาๆ กับคำพูดทีเล่นทีจริงของฉัน และฉันก็พยายามให้ปู่ได้ทำในสิ่งที่ฉันพูดอยู่ทุกวัน


-------------------------------------------

ท้องฟ้ายามอาทิตย์ใกล้ลาลับฉาบสีส้มแดงก่อนที่สีเทาหม่นมัวจะโรยตัวมาแทนที่ หลังจากได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาพระแล้ว ฉันก็เดินเลยไปยังสนามหญ้ากว้างที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ก้าวอย่าง

อ่อนระโหยตรงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวใต้ร่มจามจุรีริมสระน้ำใส หลับตาเงยหน้าพิงศีรษะไว้กับลำต้นแข็งแรง จิตใจเลื่อนลอยปนหดหู่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานความตายก็จะมาพรากพาปู่อันเป็นที่รักให้จากฉันไปตราบชั่ว

นิรันดร์


ลมเย็นโชยพัดพร้อมนำพากลิ่นหอมของดอกพลับพลึงที่แตกกออยู่ใกล้ๆสระน้ำมาแตะจมูก ฉันสูดลมหายใจเข้ายาวลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด ความอ่อนล้าคล้ายจะสลายไปยามสายลมสัมผัสผิว ฉัน

ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายชราร่างท้วมสมบูรณ์ยืนอยู่ตรงหน้ามองมาด้วยสายตาปราณี ใบหน้าขาวอิ่มเอิบแฝงด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ดวงตาเรียวยิบหยีชี้เฉียง บอกชัดว่าสืบสายเลือดมาจากแดน

มังกร เสื้อสีขาวเนื้อบางเบาที่ชายชราสวมอยู่ดูราวจะส่งประกายกระจ่างในยามพลบค่ำ ฉันยกมือขึ้นลูบหน้าก่อนจะส่งยิ้มเนือยๆ กลับไป


“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”


ผู้สูงวัยถามก่อนด้วยเสียงกังวานน่าฟัง


“เปล่าหรอกค่ะ หนูแค่เพลียนิดหน่อย”


ฉันตอบกลับไปตามความเป็นจริง ในช่วงสองสามวันนี้ ฉันได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพูดคุยทักทายกับใครสักคนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าในโรงพยาบาล เพราะในสถานที่นี้ไม่ว่าจะเป็นคนไข้หรือญาติก็ตาม ต่างมี

ความรู้สึกร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือ ความเห็นใจที่ต้องตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกัน โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่สำหรับนั่งเล่นหรือเดินเล่น จึงไม่มีใครอยากเข้ามานักหรอกถ้าตนเองหรือญาติไม่เจ็บป่วย


“อาแปะนั่งก่อนซิคะ”


เก้าอี้ไม้ตัวยาวมีพื้นที่พอจะให้คนนั่งได้ถึงสองสามคน ฉันเลยถือวิสาสะใช้สรรพนามนับญาติกับชายชราตามรูปลักษณ์ของแก พร้อมกล่าวคำเชื้อเชิญ


“มาอยู่เฝ้าไข้ล่ะซิถึงได้เพลียอย่างนี้”


อาแปะนั่งลงแล้วถามต่อ


“เฝ้าใครล่ะ?”


“ คุณปู่ค่ะ เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย” ฉันบอกชื่อโรคไปด้วยเสร็จสรรพ


“อืออ...แย่หน่อยนะ แล้วหมอว่าไง”


“เท่าที่ฟังจากคุณหมอ ก็คิดว่าน่าจะอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอกค่ะ ไม่น่าจะเกินสองสัปดาห์”


ฉันพูดได้เท่านี้ ใจก็หม่นเศร้าเมื่อนึกถึงการสูญเสีย น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ


“เฮ้อ...คุณปู่อายุเท่าไรแล้วล่ะ” อาแปะมองหน้าฉันอย่างเห็นใจ


“เก้าสิบเอ็ดย่างเก้าสิบสองแล้วค่ะ”


“ก็อายุมากอยู่นา แต่ความจริงความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสักหน่อย มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องได้พบอยู่แล้วนี่”


“อาแปะพูดเหมือนปู่หนูเลย หนูก็รู้นะว่า คนเราเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคน แต่ตอนนี้ก็ยังอยากให้ปู่มีชีวิตอยู่นานๆ ล่ะค่ะ”


“ทำไมหรือ”


“หนูจะให้ปู่ทำบุญมากๆ จิตใจในช่วงสุดท้ายจะได้เป็นบุญเป็นกุศล และไปสู่สุคติไงคะ” ฉันตอบตามความเชื่อและศรัทธาที่มีอยู่


“เวลาแค่นี้จะช่วยได้สักเท่าไร”


“หนูก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ให้ปู่ได้มีโอกาสสร้างบุญโดยสวดมนต์ทุกวัน แล้วก็ถวายสังฆทานให้พระที่อาพาธอยู่ที่นี่ทุกวัน”


อาแปะมองหน้าฉันนิ่งนาน กระทั่งฉันทำท่าจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังอาคารที่พักของผู้ป่วย แกจึงเอ่ยขึ้น


“ขอให้สมความปรารถนาเถอะ ปู่ของหนูน่าจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรอกน่ะ”


ฉันยิ้มและกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง รู้สึกได้ถึงความอาทรเป็นกันเองของชายชราจนอบอุ่นเต็มตื้นในหัวใจ อาแปะทิ้งคำพูดสุดท้ายตอบคำขอบคุณของฉันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ


“ กากี่นั้งน่อ”


(อ่านต่อฉบับหน้า)