แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - domain

Pages: [1]
1
เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ศาสนา ทำให้เราคงคุ้นหูกับคำว่ากรรมฐาน แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักว่ากรรมฐานที่แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร วันนี้ผมขอมาทำความเข้าใจกับคำว่ากรรมฐานให้ทุกท่านได้กระจ่ายกันครับ

การทำบุญทางพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็นสาม อย่างคร่าวๆ คือ การทำทาน การรักษาศีล และการภาวนา การทำทานเป็นการช่วยให้เราไม่มักมากในเงินทองของนอกการให้เรารู้จักที่จะ เสียสละบริจาคเงินช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนการรักษาศีลนั้น เป็นการควบคุมมิให้เรากระทำผิดต่อผู้อื่นและตนเอง ส่วนการภาวนานั้นเป็นการสำระล่างจิตใจให้บริสุทธิ์เริ่มจากค่อยขจัดกิเลสให้ หายไปทีละน้อยจนหมดไปและเมื่อหมดไปแล้วนั้นบุคคลผู้นั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่าพระ อรหันต์นั้นเอง

การทำภาวนาทางพระพุทธศาสนานั้นพูดง่ายๆ ก็คือการทำกรรมฐานนั้นเอง คราวนี้มาทำความเข้าใจกับคำว่ากรรมฐานกันดีกว่านะครับ กรรมฐานนั้น สามารถแยกออกเป็นสองอย่างดังนี้
การทำสมถะกรรมฐาน มีวิธีปฏิบัติอยู่ 40 แบบ คลิกอ่านที่นี้ กรรมฐาน 40>>
ส่วนการทำวิปัสสนากรรมฐานนั้น คือการปฏิบัติใช้แนวทางสติปัฏฐานสี่ คลิกอ่านที่นี้ สติปัฏฐานสี่ >>

ประโยชน์ของการทำกรรมฐานทั้งสองแบบก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน การทำสมถะกรรมที่ สังคมไทยนิยมปฏิบัติกัน เช่นอานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือหายใจเข้าพุทธหายใจออกโธ เป็นต้น การปฏิบัติแบบสมถะกรรมฐานคือการเน้นไปที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเท่านั้น เช่นสนใจลมหายใจเข้าออก ก็ดูแค่ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เป็นต้น ซึ่งการปฏิบัติแบบสมถะกรรมฐาน ถ้าพูดกันตามทฤษฎีของจิตแล้ว จิตของมนุษย์มีหน้าที่รับรู้อ่านอารมณ์ สุข ทุก ชอบไม่ชอบ ฯลฯแต่ปฏิบัติสมถะ กรรมเป็น การฝึกฝืนสภาพจิตของมนุษย์ และการปฏิบัติสมถะกรรมไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ขัดเกรากิเลสให้หมดจากใจได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าถ้าจะทำให้ในหมดจากทุกข์และโทมนัสต้องใช้แนวทางสติ ปักฐานสี่ ดังพระเทวทัตผู้ที่คิดร้ายพระพุทธเจ้า สำเร็จสมถะกรรมฐาน สามาระเหาะเหินเดินอาการได้ แต่กิเลสก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมคิดทำร้ายพระพุทธเจ้าจนสุดท้ายถูกธรณีสูบลง นรก เนืองจากทำพระพุทธเจ้าห้อเลือด

ด้วยที่กล่าวไปแล้วสมถะกรรมฐาน จึงไม่ใช่หนทางที่จะทำให้กิเลสในสันดานของมนุษย์เบาบางลง แต่การปฏิบัติสมถะกรรมแค่เสียข่มกิเลสเอาไว้ อาจารย์ผู้รู้ท่านเปรียบให้เห็นภาพว่า การทำสมถะกรรมฐานเหมือนเราเอาก้อนหินทับหญ้าเอาไว้ ต้นหญ้าไม่ตายแต่มันก็ไม่โต แต่เมื่อไรที่เอาก้อนหินออก ต้นหญ้าก็จะโตดังเดิม การทำสมถะกรรมฐานก็เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ในสมาธิกิเลศจะถูกอารมณ์ของสมถะข่มเอาไว้ จะมีความรู้สึกสบาย สามารถนั่งได้ทีละหลายๆ ชั่วโมงความมีความสุข แต่เมื่อออกจากสมถะกิเลสก็ยังอยู่เช่นเดิม

สติปักฐานสี่เป็นรูปแบบการปฏิบัติแนววิปัสสนากรรมฐานประเภท หนึ่ง ไม่ให้เราสนใจที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเหมือนสมถะกรรมฐาน แต่ให้เราตามดูตามรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นมากระทบ เช่น เสียงมากระทบหู เราก็ตามรู้ที่เสียงนั้น ความรู้สึกเกิดมากระทบใจก็ตามดูที่ใจ ปวดขาก็ตามดูอาการปวด ซึ่งจะกล่าวละเอียดในการปฏิบัติแนวสติปักฐานสี่ ในลำดับต่อไป
ในบทความนี้คงพอจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพคร่าวของคำว่ากรรมฐานกันบ้างแล้ว ในคราวต่อไปผมจะมาอธิบายลงลึกถึงการปฏิบัติแนวสติปักฐานสี่ เป็นสำคัญ เนื่องจากที่ได้กล่าไปแล้วการฝึกสมถะ ไม่มีประโยชน์อันใด เสียเวลาเปล่า จิตใจเราก็ยังคงเหมือนเดิม ผมเคยปฏิบัติแนวสมถะกรรมฐานมา ร่วมสิบปี แต่นิสัยทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่เมื่อมาปฏิบัติแนวสติปักฐานสี่แค่ครั้งเดียวรู้ถึงความเปลี่ยนไปของจิตใจ ของตนเอง แล้วผมจะกล่าวในบทต่อๆไปครับ
ข้อมูลดีๆๆ จาก สาระน่ารู้

Pages: [1]