“ถึงเวลาจะต้องพลากจากลูกหลาน นานแสนนานตราบชั่วฟ้าดินสลาย”
เช้าตรู่วันที่ 9 สิงหาคม 2550 เสียงหม๋าม้าโทรมาบอกว่าให้รีบกลับบ้านด่วน!! เพราะ หมอบอกว่าอาม่า อยู่ไมถึงวันนี้แน่ๆ ผมรีบโทรซื้อตั๋วเครื่องบินรอบบ่ายโมง แล้วก็เก็บข้าวของที่สำคัญๆ กับบรรยากาศรอบตัวที่ ความหนาวเริ่มจับที่ตัวแล้วก็สั่นๆ ซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในใจก็อธิษฐานให้อาม่า รอผมก่อน แต่ด้วยเวลาที่กำหนดไว้ แม่โทรมาอีกครั้ง ว่าอาม่าสิ้นแล้ว…..
ตอนนั้นสติผม กระเจิงหนีไปไกล แสนไกล คนที่ผมนับถือเหมือนเป็นแม่ คนที่สอง ได้จากไปแล้ว แม่บอกว่าให้ตั้งสติไว้แล้วก็รีบเก็บของเตรียมตัว กลับซะ
เราก็นั่งทำใจอยู่นาน.. แล้วก็ออกไปทำบุญที่วัดให้อาม่าก่อนกลับ พอเที่ยงก็นั่งรถไปที่ดอนเมือง นั่งร้องไห้ตลอดทาง พอขึ้นเครื่องก็ร้องอีก ลงเครื่องเจอหน้าพ่อกับแม่ ก็พูดไรไม่ออก ได้แต่กอดแม่แล้วก็ร้องไห้ พอไปถึงที่งานตอนนั้น พวกลุง ป้า นา อา มากันครบแล้ว รอเราคนเดียว ก่อนที่จะเอาสังขารที่ไร้วิญญาณของอาม่า ลงโลง และเริ่มรดน้ำศพ เราก็เข้าไปกอดอาม่า แล้วก็กราบเท้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ขอให้ท่านไปสู่สวรรค์
สุดท้ายนี้ ขอให้ เพื่อนๆที่ได้อ่านบล็อกของผมในครั้งนี้ ดูแลคนที่มีพระคุณของเราให้มากๆ แล้วก็ขอให้ทำบุญกันไว้มากๆ ด้วยรักษาศีลปฏิบัติธรรมน่ะครับ เพราะชีวิตคนเราล้วนหนีความตายไม่พ้น ……
“อาลัยรัก จากลูกหลานทุกคน อาม่าจะอยู่ในใจพวกเราตลอดไป …..”
|
งานนี้ก็บวชให้อาม่าอีกรอบ แล้วก็มีน้องๆลูกอาอี๊ ด้วย
|
ครอบครัวเรามากันทุกคน งานนี้เพื่ออาม่า
ทำบุญครบรอบ อาม่า 4 ปี ที่ วัดกุดคูณ จ.อุบลราชธานี
พวกเรา รักและคิดถึงอาม่าเสมอ ครับผม ^_^
|
Diary LifeFamily
9 สิงหาคม 2550 อาม่าจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป
Previous Post