: งานประชุมเพลิงของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
เคยบ้างรึเปล่าครับ ที่เรายินดี ยินร้าย กับอาการของธรรมชาติ เช่น วันไหนฝนตก แล้วเราต้องออกไปทำงาน
เราจะโทษฝนว่าไม่น่าตกเลย ไปไหนมาไหนลำบาก แต่ถ้าสมมติว่า ฝนตกแล้ววันนั้นเรานอนอยู่บ้านเฉยๆ
เปิดหน้าต่างลมพัดเย็นเพราะ ฝนตก มันจะความรู้สึกกันเลย แบบหนึ่งเกลียดเพราะฝนตก ไม่ได้ไปไหน
อีกแบบชอบเพราะตกแล้วมันเย็นดี ซึ่งเราลืมมองไปว่า มันก็เป็นอาการของธรรมชาติ
เพียงแต่ว่าจิตใจเราปรุงไปว่าชอบ ไม่ ชอบ ไปปรุงว่ามีตัวเราจริงๆขึ้นมา
ครูบาอาจารย์ที่สอนวิปัสสนา ท่านจะแนะนำว่า ให้เรารู้ถึงอาการปรุงแต่ง ชอบ ไม่ชอบ ของจิตนั้น จะเห็นได้ว่า
อาการต่างๆที่ปรุงแต่งเป็นสังขารนั้น เขาเกิดเพียงแต่เหตุ เหตุที่ไม่ชอบว่าฝนตกแล้วออกไปทำงานไม่ได้
เพราะเราไปปรุงแต่งว่ากายใจนี้ เป็นเรา
เราต้องออกไปทำงาน เปียกฝน แล้วไม่ชอบ ล้วนแต่มีคำว่าเรา ร่างกาย เรา จิตใจเรา
แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเห็นว่าร่างกายนั้นเป็นเพียงธาตุขันธ์ที่เกิดจากปรุงแต่งของ
ดิน น้ำ ลม ไฟ แค่นั้นเอง ความเป็นเราจริงๆไม่มีหรอก สิ่งที่ปิดบังความจริงนี้ คือ อวิชชา ( ความไม่รู้ )
แล้วทำอย่างไรละ ถึงจะมองเห็น ความจริงที่วิเศษ(วิ = วิเศษ , ปัสสนา = การเห็น) เหล่านี้ได้ ต้องฟังธรรมที่ถูกต้อง แล้วทำความรู้จัก สภาวะของผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมาภาวนาตามหลักของมหาสติปัฏฐาน 4 (ตามรู้กาย เวทนา จิต ธรรม) ซึ่งเป็นทางเดียวที่เดินไปถึง มรรค ผล นิพพาน ได้
หลวงปู่ชาเคยบอกว่า “คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธว่ามรรค ผล นิพพานไม่มีจริง ก็เหมือนกับที่เขาคิดว่า ใต้ดินไม่มีน้ำ ”
สามารถอ่านเพิ่มเติมหลักการเจริญสติปัฏฐาน ได้ที่ kammatan.com
1 Comment
ขอบคุณครับ สำหรับธรรมะดี ๆ